Sep 11, 2008
What is Dhamma in Buddhism
-the teachings of the Buddha which lead to enlightenment
-the constituent factors of the experienced world
The Buddha's teachings
What is called Buddhism in the west has been referred to in India (the teachings' place of origin) and the east generally for many centuries as buddha-dhamma. This term has no sectarian connotations but simply means "Path of Awakening" and thus conforms to a universal understanding of dharma.
"Dhamma" usually refers inclusively not just to the sayings of the Buddha but to the later traditions of interpretation and addition that the various schools of Buddhism have developed to help explain and expand upon the Buddha's teachings. The 84,000 different teachings (the Kangyur/bka.'gyur) that the Buddha gave to various types of people based on their needs. The teachings are expedient means of raising doubt in the hearer's own cherished beliefs and view of life; when doubt has opened the door to the truth, the teaching can be put aside.
Alternately, "dhamma" may be seen as an ultimate and transcendent truth which is utterly beyond worldly things, somewhat like the Christian logos, seeing the dharma as referring to the "truth" or ultimate reality or "the way things are".
The Dharma is one of the Three Jewels of Buddhism of which practitioners of Buddhism seek refuge in (what one relies on for his/her lasting happiness). The three jewels of Buddhism are the Buddha (mind's perfection of enlightenment), the Dhamma (teachings and methods), and the Sangha (awakened beings who provide guidance and support
credit to wikipeida.com
Knowing Buddhism through Western eyes
by Ajahn Brahmavamso
8th February 2004
Credit to What-Buddha-taught.net
I used to be a scientist. I did Theoretical Physics at Cambridge University, hanging out in the same building as the later-to-be-famous Professor Stephen Hawking. I became disillusioned with such science when, as an insider, I saw how dogmatic some scientists could be. A dogma, according to the dictionary, is an arrogant declaration of an opinion. This was a fitting description of the science that I saw in the labs of Cambridge.
Learn Meditation(Samadhi) English content
By Ajaan Lee Dhammadharo(Phra Suddhidhammaransi Gambhiramedhacariya)
- Keeping the Breath in MindandLessons in Samadhi
- Starting Out Small: A Collection of Talks for Beginning MeditatorsPart 1
- Starting Out Small: A Collection of Talks for Beginning MeditatorsPart 2
- Loyalty to Your Meditation
- The Path to Peace and Freedom for the Mind
- Handbook for the Relief of Suffering
- The Autobiography of Phra Ajaan Lee
Sep 10, 2008
ตอนที่ 13: อัฐิเป็นพระธาตุ
- สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของตถาคตอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
- สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระเจกพุทธเจ้า
- สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระอรหันต์
- สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระเจ้ามหาจักรพรรดิ
บุคคลพิเศษนี้เป็นที่ไหว้สักการบูชา ใครกราบสักการะบูชาด้วยจิตใจที่เลือมใสย่อมเป็นปัจจัยให้สัตว์เกิดในสุคติโลกสวรรค์ตามกำลังเลื่อมใจในจิตของตน
ตอนที่ 12: รู้วัน และ สถานที่มรณภาพของท่านเอง
ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็ปฏิบัติเหมือนเดิม คือเมื่อเข้าทำกรรมฐานก็จะสั่งญาติโยมที่เคยใส่บาตร ว่าไม่ต้องเตรียมอาหารบิณฑบาตสำหรับท่าน เพราะจะเข้ากรรมฐาน ออกจากกรรมฐานเมื่อไหร่จะบอกซึงชาวบ้านถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ท่านปฏิบัติเช่นนี้ประจำ
ช่วงแรกท่านเข้ากรรมฐาน อยู่ 7 วันจึงถอนออกจากสมาธิ เมื่อฉันอาหารบิณฑบาตอยู่ 2-3 วัน แล้วท่านก็เข้าทำกรรมฐานอีก จนเวลาผ่านไป 7 วัน ลูกชายของโยมอุปัฏฐากที่คอยดูแลท่านมาที่กุฎิ ปรากฏว่าที่พื้นซิเมนต์ใต้ถุนกุฏิมีน้ำไหลนองมีกลิ่นเหม็น ดูแล้วว่าเป็นน้ำเหลืองที่ไหลออกมาตรงกับที่ท่านนั่งกรรมฐานพอดี จึงขึ้นไปเปิดประตูกุฏิ ดูให้แน่ใจ ก็พบว่าท่านนั่งสมาธิอยู่ แต่ สบงจีวรเปียกชุ่ม ร่างกายขึ้นอืดบวม จึงรู้ว่าท่านมรณภาพในสมาธิเสียแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าภายใน 7 วัน ที่ท่านนั่งกรรมฐานท่านได้หมดลมปราณวันไหน เวลาเท่าไหร่ ชาวบ้านจึงได้มาช่วยกันจัดการซากอสุภของท่าน และได้โทรเลขไปแจ้งน้องสาวของท่าน ญาติพี่น้องเห็นว่าการฌาปนกิจท่านที่วัดป่าผาลาดลำบากยุ่งยาก เพราะอยู่บนภูเขาขึ้นลงไม่สะดวก จึงรับศพท่านเข้ากรุงเทพ ไว้ที่วัดมะกอกซึ่งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลพระมงกุฏ บำเพ็ญกุศลอยู่ 3 วัน จึงได้ประชุมเพลิง
ตอนที่ 11: เรื่องของท่านพระอาจารย์ประยุทธ
ท่านพระอาจารย์ไปพักอยู่ที่วัดเกาะกระทิง นั่งกรรมฐานที่เรียกว่า นั่งหนัก คือนั่งติดต่อกัน 1 เดือนเต็ม เนื่องจากท่านเป็นพระที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจปฎิบัติเหมือนกับหลวงปู่ตื้อ พระอาจารย์ของท่าน พอออกจากกรรมฐานท่านก็หมดแรง ชาวบ้านหามท่านไปส่งโรงพยาบาล
หลังจากนั้นท่านไปปฏิบัติธรรมที่พระธาตุเขาน้อย ไปฉันเห็นชนิดหนึ่งดอกสีม่วง ซึ่งมีพิษ เร่าร้อนแทบจะปางตาย ถึงกับฟันหลุดไป 14-15 ซีก ในป่าดงไม่มียาอะไร จึงใช้วิธีดูดพิษออกโดยให้โยมชาวบ้านช่วยกันขุดหลุมฝังตัวท่านลงไป เอาดินกลบเหลือเพียงช่องหายใจเท่านั้น
วิธีใช้ไอดินดูดพิษนี้ ใช้เวลาถูกพิษเช่น งูกัด เสือกัด เขาเอาแผลที่ถูกกัดฝังให้ไอดินดูดแก้พิษได้
ถ้าโดนเสือกัดและรอดตายมาได้ พิษของการถูกเสือกัดนั้นร้ายแรงเหมือนสุนัขบ้า ทำให้คลั่งลงตะกุยดิน คนที่เข้าป่าจึงควรรู้จักต้นกลอยที่เราเอามารับประทานกับข้าวเหนียว หัวกลอยดิบ ๆ ให้ผู้ถูกเสือกัดกินดิบ ๆ จะรู้สึกเหมือนกินมันแกวไม่เฝื่อนขื่นอย่างไร ให้กินจนรู้สึกเผื่อนขึ้นมาจึงเลิกกินพิษเสือจะหายหมด
ถ้าไปถูกงูพิษเช่น งูเห่ากัด ก็ให้ใช้ต้นอุตพิษเอาหัวมาตำให้แหลกเหยาะเหล้าโรงสัก 3-4 หยด คั้นเอาน้ำมากิน เอากากปิดปากแผล แก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ชะงัดนัก
การปลุกเสกพระ
ท่านมาพักกับหลวงตาสิน ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดถ้ำหว้า จังหวัดเพชรบุรี และได้ไปมาหาสู่ พระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ที่วัดหนองน้ำขาว จังหวัดราชบุรี อยู่เสมอเพราะถูกอัธยาศัยกันเนื่องจากเป็นพระสายเดียวกัน คือสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
การไปมาหาสู่กันทำให้ท่านพระอาจารย์ประยุทธ ได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ชั้นเถระผู้ใหญ่ ที่แวะเยื่ยมเยียนพระมหาปิ่นอยู่เป็นประจำ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่เหรียญ เป็นต้น การพบพระเถระเจ้าทั้งหลาย ทำใหพระอาจารย์ได้อุบายธรรมนำไปเร่งการปฎิบัติให้ยิ่งขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งพระอาจารย์มหาปิ่นท่านคิดทำพระสมเด็จเพื่อไว้แจกญาติโยม จึงได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์มานั่งปรก 5-6 รูป รวมทั้งพระอาจารย์ประยุทธด้วย กำหนดให้ทำการปลุกเสก ครบ 7 วัน ระหว่างที่ปลุกเสกไม่ทราบพลัจิตองพระรูปไหน ทำให้พระเครื่องทีนำมาปลุกเสกใส่ไว้ในบาตรแตกหักไปเกือบครึ่งองค์
การนั่งปลุกเสกถึงวันที่ 3 พระเกจิอาจารย์ที่นิมนต์มาก็ค่อย ๆ ถอนสมาธิไปจนวันที่ 4 วันที่ 5 ก็เหลือท่านอาจารย์ประยุทธเพียงท่านเดียว
พอวันที่ 6 ตอนกลางคืนก็ปรากฎความอัศจรรย์ บริเวณที่ท่านพระอาจารย์ประยุทธปลุกเสก บังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นเห็นดังนั้น จึงรีบให้สามเณรเข้าไปกระซิบบอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่าพลังเข้าไปเต็มที่แลว ให้ถอนสมาธิได้แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ครบ 7 วัน กระซิบอยู่เช่นนั้น 2-3 ครั้ง ท่านพระอาจารย์จึงถอนสมาธิออกมา
การปลุกเสกพระครั้งนี้เท่าที่บอกเล่ากันมา ใครได้ไว้ก็เรียกว่าเป็นของดีวิเศษจริง และเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่พระอาจารย์ประยุทธได้ทำ
ท่านพระอาจารย์ประยุทธเป็นคนพูดจาโผงผาง ท่าทางเป็นนักเลงคล้ายคลึงหลวงปู่ตื้อ แต่โดยแท้จริงมีความอ่อนโยนนุ่มนวล ประกอบด้วยเมตตาสูงชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความลำบาก ท่านผู้รู้หลายท่านว่าอุปนิสัยใจคอของคนเราเป็นสิ่งที่ติดตามเนื่องกันมาแต่อดีตชาติลบล้างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่าย ๆ
แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีข้อให้ติได้ อย่างพระสารีบุตรมหาเถระอัครสาวกเบื้องขวงของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ทรงปัญญาล้ำเลิศและได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะทางปัญญา เวลาเดินทางข้ามล่องน้ำ ท่านก็ทำท่าทางอย่างลิงกระโดดข้ามไป ไม่เป็นสมณสารูป พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า อย่าติเลยของติดมาแต่อดีตชาติ เพราะเมื่ออดีตชาติท่านเกิดเป็นลิง
ดังนั้นการมองคนต้องมองให้ลึกซึ้งถึงจิตใจของท่านอย่างมองแค่ท่าทางกิริยาภายนอก จิตของท่านพระสารีบุตรก็ดี ของท่านพระอาจารย์ประยุทธก็ดีย่อมเป็นจิตใจที่งดงาม สะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ ยากที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจได้
อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง
มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่มีโอกาสรู้จักพระอาจารย์ประยุทธเป็นครั้งแรก ได้เล่าว่าตอนนั้นอยู่ที่บ้านเก่าหลังหนึ่ง มีเนื้อที่ 2 ไร่ รอบบ้านที่ปลูกก็ตกราคา 3 ล้านในขณะนั้น แต่เป็นย่านที่มีขโมยชุกชุมเดือดร้อนเรื่องของหาย จึงได้กราบให้ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นทราบ เพราะเคารพนับถือกานมานาน ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นก็บอกว่า "ต้องพึ่งพระอาจารย์ประยุทธท่าน เพราะท่านมีฤทธิ์ขลังอาจป้องกันได้"
ขณะนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธก็อยู่ในวัดด้วย ท่านนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ เธอก็ได้เข้าไปกราบท่าน บอกท่านว่า "อยากจะขอนิมนต์ท่านไปที่บ้าน ขโมยมันชุมนัก จะทำอย่างไรดี"
พระอาจารย์ประยุทธนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า "อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง"
สุภาพสตรีท่านนี้ก็งง ทำไมท่านพระอาจารย์พูดอย่างนั้นเมื่อท่านไม่ยอมไป เธอก็กราบลาท่าน
อีก 3 เดือนต่อมา มีงานที่วัดหนองน้ำขาว สตรีท่านนี้ได้ไปร่วมงานด้วยและได้มีโอกาสถามท่านพระอาจารย์มหาปิ่นว่า "ไหนท่านว่า พระอาจารย์จะนิมนต์ท่านอาจารย์ประยุทธให้ดิฉัน" ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นหัวเราะและบอกว่า "เดี๋ยวคงมา" แต่เมื่อพระอาจารย์ประยุทธมาถึงก็ไม่ได้ขึ้นมาบนศาลา ท่านเลยไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ห่างออก ไป
สุภาพสตรีท่านนี้ จึงได้ลองนิมนต์ท่านอีกทีจึงกราบท่านและนิมนต์ท่านไปที่บ้าน คำตอบก็เหมือนเดิมคือ "อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง" ทำให้เธอหมดศรัทธาที่จะนิมนต์เสียแล้ว
สักพักใหญ่ ๆ ประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ก็เห็นพระอาจารย์ประยุทธให้เด็กถือบริขารมีบาตรและกลดเดินเข้ามาหาบอกว่า "จะนิมนต์ไปบ้าน ก็ไปเสียแต่ต้องกลับมาให้ทันสวดมนต์เย็นเวลา 6 โมงนะ" เธอก็นิมนต์ท่านขึ้น
รถและมีคนมาเป็นเพื่อนด้วย ขับรถมาถึงเขตนครชัยศรี บางหน้าก็แบนลง จำเป็นต้องเปลี่ยนยาง แต่ยางอะไหล่ก็ไม่มีไม่รู้จะทำอะไร ท่านพระอาจารย์ประยุทธนั่งหลับตาอยู่ข้างหลัง ท่านก็บอกว่าขับต่อไปเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เธอก็ขับต่อไป น่าอัศจรรย์ ยางที่แบน กลับพองขึ้นและวิ่งได้สบายจนถึงบ้านได้
รู้ล่วงหน้า
ท่านพระอาจารย์ประยุทธทำน้ำมนต์กันขโมยให้แล้ว ท่านเจ้าของบ้านจะพาท่านกลับไปวัดหนองน้ำขาว ตามที่ได้ให้สัญญาไว้ แต่ยางก็แบนอย่างเดิมหาคนมาช่วยเปลี่ยนไม่ได้ จึงเรียนท่านไปว่า "เห็นจะต้องกลับรถแท็กซี่เสียแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันสวดมนต์" ท่านพระอาจารย์บอกว่า "ท่านเป็นพระบ้านนอกขี้เห่อ นั่งรถป้ายเหลืองไม่ได้หรอก ต้องนั่งรถป้ายดำ" ท่านเจ้าของบ้านตอบว่า "ดิฉันไม่รู้จะไปเอารถที่ไหนตอนนี้" ท่านพระอาจารย์ว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีรถป้ายดำมารับเอง"
ท่านพูดไม่กี่นาที ก็มีรถเลี้ยวเข้ามาในบ้านอย่างไม่คาดฝัน เป็นรถน้องชายเจ้าของบ้าน เขาก็อาสาไปส่งท่านพระอาจารย์
อีก 3-4 เดือนต่อมา สุภาพสตรีท่านนี้ได้นิมนต์พระอาจารย์ประยุทธและอาจารย์เรือง ขณะได้นั่งสนทนากันจึงได้เล่าเรื่องให้ท่านพระอาจารย์ฟังว่า มีคนมาขอยืมเงินหายไปเป็นปีไม่ได้ข่ายเลย สักพักท่านพระอาจารย์ก็ได้ให้หาดอกไม้ 7 สีมาให้ ขณะนั้นใกล้ 4 ทุ่มแล้วไม่รู้จะไปหาซื้อดอกไม้ที่ไหน จึงหาดอกไม้ในบริเวณบ้านแต่คิดว่ามีไม่ครบ 7 สี ท่านพระอาจารย์ก็บอกว่ามีครบ ให้พาเด็ก ๆ ไปช่วยกันหามาก็ได้ครบ 7 สี เอาขันน้ำมนต์ใส่น้ำมาตั้งที่หน้าท่าน จุดธูปเทียนแล้ว ท่านอาจารย์ก็หยิบดอกไม้มากรีดและเด็ดที่ละกลีบใส่ลงในขันน้ำมนต์ ท่าทางการเด็ดกลีบดอกไม้นั้นประณีตนุ่มนวลมาก ท่านเด็ดจนหมดดอกแล้ว ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรเขาจะเอาเงิน 4 หมื่นมาคืนเอง สุภาพสตรีท่านนั้นก็ได้พบกับความประหลาดใน เมื่อลูกหนี้ที่หายไปเป็นปี อีก 2 วันต่อมา ก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกอยู่หน้าบ้านแต่เช้า ลูกหนี้คนนั้นนั่นเอง เขาขอโทษขอโพยแล้วเอาเงินมาคืนให้อย่างครบถ้วน
อิทธิฤทธิ์ของท่านพระอาจารย์ประยุทธ
คุณสุภาพสตรีท่านนี้ ท่านได้สร้างเรือนร้างไว้ริมรั้วในเนื้อที่ 2 ไร่ในบริเวณบ้านเก่าของท่าน เพื่อให้พระปฎิบัติที่เคารพนับถือที่ได้เดินทางมาเยี่ยมหรือเดินทางมาจากต่างจังหวัดและไม่สามารถกลับวัดได้ทันหรือมีกิจที่ต้องค้าง ก็จะนิมนต์ให้ท่านค้างที่เรือนว่างแห่งนั้น บังเอิญตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธท่านมาค้าง ลูก ๆ หลาน ๆ ของเจ้าของบ้านขอจัดเลี้ยงรุ่นพอดี คุณสภาพสตรีท่านนั้นก็กำชับว่าอย่าส่งเสียงดังมากไป จนรบกวนหลวงพ่อท่าน และได้เรียนพระอาจารย์ให้ทราบ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า "เด็กเขาจะสนุกกันก็ช่างเขาเถอะ ไม่รบกวนอะไรหรอก"
การเลี้ยงรุ่นของเด็ก ๆ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เสียงเพลง เสียงดนตรี การยั่วเย้าเฮฮากันตามวิสัยของเขา ขณะที่มองไปริมรั้วท่านอาจารย์ประยุทธก็นั่งสมาธิแน่วนิ่งอยู่ในเรือนว่าง มองเห็นได้จากหน้าต่างที่เปิดไว้เห็นแสงเทียนที่จุดไว้เพียงเล่มเดียว กระจายแสงฉาบไล้อยู่ที่ใบหน้าและกายของท่านเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว
เมื่อใกล้จะถึงเวลา 24.00 น. เพลงได้หยุดลงแล้วและมีเด็กคนหนึ่งได้มองไปที่เรือนร้างผ่านหน้าต่างเรื่องว่างนั้น เห็นดวงไฟใหญ่เท่าบาตรเกือนเป็นวงกลมลอยขึ้นจากเทียนที่ท่านจุดไว้ แสงสุกปลั่งเจิดจ้าลอยขึ้นสู่เพดานลูกแล้วลูกเล่า เมื่อต่างสะกิดกันให้ดู ก็พากันตะลึงไปตาม ๆ กัน และคิดกันว่าลูกไฟเกิดจากอะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนสงสัยพากันย่องไปใกล้ ๆ ก็เห็นแต่เทียนทีท่านจุดไว้เพียงเล่มเดียว ไม่มีสิ่งใดทีจะทำให้เกิดลูกไฟเช่นนี้ได้
ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เด็ก ๆ เกือบ 20 คน ได้พากันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วนมัสการกราบลงขอความเป็นสิริมงคล เมื่อมีผู้ถามท่านพระอาจารย์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านอธิบายว่าท่านไม่ได้ทำอะไร มันเกิดขึ้นเองอาจจะเป็นพลังอำนาจของจิตก็ได้
ตอนที่ 10: อยู่ถ้ำผาพุง จ.เลย 2 ปี
โอ่งขนาดใหญ่
ต่อมาก็มีผู้มีจิตศรัทธา ปลูกศาลาโรงฉันเล็กๆให้และสร้างศาลาทรงไทยบนไหล่เขา แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือโอ่งน้ำขนาดใหญ่ ไว้เก็บน้ำฝน เวลาญาติโยมมากันมากๆจะได้มีน้ำดื่ม ท่านอาจารย์เคยเห็นที่ตลาดวังสะพุง มีร้านขายโอ่งขนาดใหญ่ที่ต้องการ ก็ไปขอซื้อ
เจ้าของร้านถามว่า "จะเอาโอ่งไปตั้งที่ไหน "
ท่านตอบ "เอาไปไว้ในศาลาบนไหล่เขา"
เจ้าของร้านท้วงว่า "จะเอาโอ่งใหญ่ขนาดนี้ ขึ้นไปได้อย่างไร"
ท่านตอบ "ถ้าอาตมาเอาขึ้นไปได้ จะถวายโอ่งให้หรือไม่ละ"
เจ้าของร้านก็ใจถึง "ถ้าท่านเอาขึ้นไปได้ ไม่ไปตั้งที่พื้นที่ราบข้างล่างก็ยินดีถวาย"
เมื่อท่านตกลงกับเจ้าของร้านโอ่งได้ ก็กลับมาหาเชือกและลูกรอกเตรียมเอาไว้ เมื่อร้านขนโอ่งมาถึงพื้นที่ราบ ท่านก็ใช้รอกขนโอ่งขึ้นไปจนสำเร็จ เจ้าของโอ่งก็ถวายโอ่งให้ท่านฟรี มีผู้พบว่ามีโอ่งใหญ่ขนาดนี้ถึง 5 ใบ ตั้งเรียงรายที่ศาลาบนไหล่เขาวัดถ้ำผาพุง ท่านยังได้พบอีกว่าสูงจากไหล่เขาขึ้นไปมีถ้ำใหญ่อันสงบงดงาม ท่านจึงขึ้นไปทำความสะอาดถ้ำ และใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม และรับแขกแทนศาลาโรงฉันข้างล่าง
สร้างพระพุทธรูป
ภายในถ้ำที่ท่านค้นพบ ท่านเห็นว่าควรสร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำเพื่อกราบไหว้บูชา เพราะเห็นว่าถ้ำนี้ทั้งกว้างทั้งสูง อากาศถ่ายเทสะดวกมีแสงแดดส่องลงมาจากช่องด้านบนไม่อับชื้น เหมาะแก่ผู้แสวงบุญจะมาอาศัยบำเพ็ญเพียร
ท่านพระอาจารย์จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เยี่ยมเยียนน้องสาวที่มีฐานะดีได้ปรารภถึงการสร้างพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณโยมมารดาและบิดา น้องสาวของท่านก็ยินดีสร้างถวาย เป็นพระที่งดงามด้วยพุทธลักษณะ
เจ้าของโรงเลื่อยที่เคยคิดขับไล่ท่าน ต่อมาก็ได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสและมาช่วยก่อสร้างสำนักสงฆ์ ให้มีลักษณะถาวรขึ้นมีพระและเณรมาอยู่ปฎิบัติธรรมด้วยหลายองค์ ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกก็มีความเลื่อมใสมาทำบุญใส่บาตรมิได้ขาด
วัดถ้ำผาพุงเป็นสถานที่ตั้งในภูมิประเทศที่มีความเหมาะสม เหมาะอย่างยิ่งที่พระภิกษุและผู้ปฎิบัติธรรมจะมาบำเพญเพียร ถ้าได้รับการทำนุบำรุงรักษาเพียงสร้างกุฎิกรรมฐานเล็ก ๆ ให้มากขึ้น ก็จะเป็นสถานอันร่มรื่นเย็นสงบ สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมต่อไป
หลวงปู่มั่นเคยปรารภว่า "ให้เร่งปฎิบัติ เพราะต่อไปป่าจะหายากไม่มีที่ให้ปฎิบัติอีกแล้ว ฉะนั้นสำนักสงฆ์ที่มีอยู่ในป่า เราชาวพุทธจะต้องช่วยกันรักษาไว้ทั้งสำนักสงฆ์และป่าให้คงอยู่ เพื่อเราจะได้เห็นพระอรหันต์อันเป็นเนื้อนาบุญของเราตลอดกาลนาน"
เนื่องจากท่านพระอาจารย์ประยุทธ เป็นพระปฎิบัติที่ไม่ติดที่หรือเสนาสนะและตั้งในจะเดินธุดงค์เพื่อปฎิบัติธรรม หลังจากที่ท่านพระอาจารย์ประยุทธได้อยู่ที่วัดนี้ได้ 2 ปี จึงคิดมอบหมายให้มีผู้ดูแลวัดแทน ซึ่งในขณะนั้นมีพระอาจารย์ประเวศน์มาปฎิบัติธรรมสมาธิกับท่าน จึงเป็นผู้ดูแลวัดต่อจากท่าน
ตอนที่ 9: ต้องจากหลวงปู่ตื้อ ไปแสวงหาโมกธรรมเอง
เนื่องจากท่านเป็นพระปฎิบัติที่ไม่ติดที่ มักจะอยู่ที่ไหนได้ไม่นานก็ไปต่อ อันเป็นแบบฉบับของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านชอบธุดงค์อยู่ตามป่า ตามถ้ำไปเรื่อยๆ ไปที่ไหนแล้วทำให้สมาธิเจริญก็อยู่หลายวันหน่อย ไม่เหมาะก็จะย้ายไปที่ใหม่ ปฏิปทาของท่านที่สำคัญคือ การงดอาหารบิณฑบาต โอกาสไหนถ้าท่านเจริญเป็นที่สบายก็อดอาหารถึง 15 วัน หรือ 1 เดือนซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
ระหว่างที่ท่านธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพร ท่านได้นิมิตในสมาธิถึงถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อจะไปอยู่สร้างบารมี ท่านเที่ยวธุดงค์อยู่อีก 3 ปี จึงได้มาพบถ้ำในนิมิต ถ้ำแห่งนี้คือ "วัดถ้ำผาพุง" อ. สะพุง จ.เลย ในปัจจุบัน
เมื่อพบถ้ำท่านพระอาจารย์ได้ไปปักกลดอยู่ตรงพื้นที่ราบเชิงเขา ไม่มีมุ้งกันแดดกันฝน บริเวณนั้นป่าไม้ยังสมบูรณ์ และมีการลักลอบตัดไม้ การที่ท่านไปปักกลด ทำให้การลักลอบตัดไม้ไม่เป็นความลับต่อไป ผู้ลักลอบจึงพยายามขับไล่ท่านให้ออกจากสถานที่นั้นตั้งแต่วันแรก ท่านก็เฉยเสียและรู้ว่าเจ้าของโรงเลื่อยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้มาไล่ท่าน ท่านประกาศว่าถ้าเจ้าของโรงเลื่อยไม่ออกไปจากป่านี้ ท่านก็ไม่ไปเหมือนกัน เจ้าของโรงเลื่อยจึงใช้อิทธิไปข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านใส่บาตรท่าน ท่านเคยอดมาก่อนก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร เมื่อมีเด็กมาเลี้ยงวัว ท่านก็บอกใบ้ให้เด็ก ๆ เก็บใบไม้ที่กินได้มาให้ท่านฉัน เพราะเป็นพระจะพรากต้นไม้ไม่ได้โดยเฉพาะพระฝ่ายธรรมยุตินิกายยิ่งต้องเคร่งครัดมากในเรื่องนี้ อยู่มา 6 วันไม่มีใครมาใส่บาตร เช้าวันที่ 6 ท่านเลยออกไปบิณฑบาตรพบเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังผ่าฝืนอยู่หน้าบ้าน ท่านจึงถามว่า "ชาวบ้านแถวนี้เขาไม่ทำบุญใส่บาตรกันหรือ" เด็กเรียนท่านว่า "คนรุ่นพ่อแม่ถูกห้ามไม่ให้ใส่บาตร" แต่เด็กคนนี้ขอให้ท่านรอ แล้วไปเอาข้าวนึ่งในบ้านพร้อมกับปลาเล็ก ๆ 1 ตัวมาใส่บาตร เป็นอันว่าท่านได้ฉันในวันที่ 6
หลังจากนั้นเมื่อเด็กเห็นท่าน ก็ใส่บาตรทุกครั้งและชวนให้เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันมาใส่บาตรด้วย เวลาว่างก็ไปหาท่านที่กลด ท่านก็สอนให้เด็กเข้าใจถึงบาปบุญ และเน้นมากในเรื่องความกตัญญู
ท่านสอนเด็กเหล่านั้นว่า "พ่อแม่ก็เป็นพระองค์หนึ่ง ท่านเลี้ยงดูเรามาต้องกตัญญูรู้คุณอย่าทำให้ไม่สบายใจ เพราะจะเป็นบาป ต้องคอยปรนนิบัติเอาอกเอาใจท่าน ช่วยการงานอย่าให้ท่านบ่นว่าเอาได้" เด็กๆเหล่านี้ก็ไปเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าพระท่านสอนอย่างไรบ้าง พ่อแม่รู้สึกพอใจที่ท่านสอนให้ลูกดีก็เลยมาฟังด้วยตนเอง แล้วเกิดความเลื่อมใส พากันมาใส่บาตร บางทีก็เอาอาหารมาถวายถึงที่กลด เป็นอันว่าคำสั่งของเจ้าของโรงเลื่อยไม่เป็นผล
Sep 9, 2008
ตอนที่ 8: คือ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นั่นเอง
หลวงปู่ตื้อ ก็ถามทันทีว่า "ก่อนบวชเคยทำอาชีพอะไรมาให้บอกไปตามจริง" ท่านก็คิดไม่ตกว่าควรตอบแบบไหนดี หวงปู่ตื้อชี้หน้าบอกว่า "ให้บอกมาไม่เช่นนั้นจะไม่รับเป็นศิษย์" ท่านจึงตอบไปว่า "เป็นโจรครับ" หลวงปู่ตื้อพูดว่า "การเป็นศิษย์ต้องมีข้อแม้" ท่านก็ตอบตกลงก่อนโดยไม่รู้ว่าข้อแม้คืออะไร หลวงปู่ตือให้ท่านจุดธูปปักบนกระถางหน้าพระประธานบนศาลาโรงฉัน แล้วให้พูดตามว่า "จะบวชตลอดชีวิต ไม่ลาสิขาบท"
ในขณะนั้น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระป่าที่โด่งดังในสายพระธรรมยุตินิกาย เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็นแม่ทัพธรรมอันยิ่งใหญ่ กำลังสร้างสำนักสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันคือ วัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อเป็นลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่หลวงปู่มั่นให้ความไว้วางใจ และให้ร่วมติดตามไปธุดงค์อยู่หลายปี หลวงปู่ตื้อเคยปรารภกับสานุศิษย์ว่า "ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ" กิตติคุณของหลวงปู่ตื้อนั้นมักกล่าวกันว่า เป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่ชอบพูดอ้อมค้อมเกรงอกเกรงใจใคร เป็นการตัดปัญหาให้สั้นเข้า
ท่านพระอาจารย์ประยุทธ ได้เป็นศิษย์ตามหลวงปู่ตื้อ ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรอยู่เสมอ เว้นแต่เมื่อเวลาพากเพียรปฎิบัติจึงจะแยกไปอยู่ห่างๆ แค่พอไปมาหาสู่กันได้ไม่ไกลนัก เมื่อมีปัญหาติดขัดในการปฎิบัติ ก็จะมาเรียนถามหลวงปู่ให้ท่านอธิบายอยู่เสมอ
หลวงปู่ตื้อหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า:
-ครั้งหนึ่งพระเณรเข้ากุฏิกันเกือบหมดแล้ว หลวงปู่สั่งให้เณรไปต้มน้ำกาใหญ่ เณรบอกว่าไม่มีใครอยู่ฉันน้ำแล้ว หลวงปู่จะให้ต้มน้ำกาใหญ่ไปทำไม หลวงปู่บอกให้ต้มก็ต้มไปเถอะ ต้มน้ำชงชาแล้ว หลวงปู่ให้เณรเอาถว้ยชามาเตรียมไว้50ถ้วย หลวงปู่บอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่า คืนนี้จะมีญาติโยมมาจากกรุงเทพ สักพักก็มีรถบัสมาจอดในบริเวณวัด ท่านให้นำน้ำชามาเลี้ยงญาติโยม ปรากฎว่าถ้วยชาที่เตรียมไว้พอดีคนเลยไม่ทราบท่านรู้ได้อย่างไร
-อีกครั้งขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยกับหลวงปู่และเณรท่านอื่นๆหลวงปู่สั่งว่า"ตุ๊ไทย(หลวงปู่ชอบเรียกท่านอย่างนี้เสมอ) ไปสรงน้ำไวๆ" ซึ่งปกติหลวงปู่ไม่เคยย่งกับการสรงน้ำ แต่คราวนี้หลวงปู่กลับมาเร่ง พระอาจารย์ประยุทธก็ถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ให้กระผมไปสรงน้ำทำไม" หลวงปู่ตอบว่า "ให้ไปสรงก็ไปเถอะ เย็นนี้ 6 โมงเย็นจะมีโยมผู้ชายมานิมนต์ไปปัดรังความนให้ลูกชายที่ตกต้นลำไย แต่เด็กมันต้องตายแน่ไม่รอดดอก อยากจะให้ตุ๊ไทยไปแทน" พระอาจารย์ประยุทธ ก็ไปสรงน้ำ ยังไม่ทันครองผ้าโยมที่ว่าก็ขับรถปิ๊คอัพเข้ามาในวัด รีบมากราบหลวงปู่นิมนต์ให้ไปปัดรังควานให้ลูกชาย ท่านจึ่งไปแทนตามที่หลวงปู่บอกไว้
ท่านพระอาจารย์ได้รับการศึกษาอุบายธรรมอันเฉียบคมเป็นเวลา 3 ปีจากหลวงปู่ตื้อ ท่านมีความเลื่อมใสในหลวงปู่ตื้อมาก
ตอนที่ 7: มุ่งมั่นบุกบั่นไปหา..ว่าที่พระอาจารย์
ตอนที่ 6: มุ่งชีวิตสู่สมณะเพศ
ท่านได้อยู่ศึกษากับหลวงปู่องค์นี้เป็นเวลา 1 ปี เรียนรู้พื้นฐานการปฎิบัติธรรมกรรมฐาน และธุดงคืวัตรตามแบบพระป่า วันหนึ่งหลวงปู่ก็บอกท่านว่าหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว ให้ไปหาอาจารย์อีกรูปหนึ่งตอนนี้ท่านอยู่ทางภาคเหนือ พระอาจารย์รูปนั้นจะเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน เมื่อถามว่าหลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า อาจารย์รูปนั้นอยู่ทางภาคเหนือ หลวงปู่ได้พบแล้วหรือ หลวงปู่บอกว่าไม่ได้พบหรอก แต่พูดกันทางจิต และได้ฝากฝังกับพระอาจารย์รูปนั้นในทางจิตและรู้เรื่องกันหมดแล้ว หลวงปู่ยังได้บอกท่านว่า
- พระอาจารย์รูปนั้นท่าทางเป็นนักเลง อธิบายรูปร่างให้ฟังอย่างละเอียด
- บอกเส้นทางที่จะเดินทางไปพบ แต่ ไม่บอกชื่อของพระรูปนั้นให้ทราบ
ตอนที่ 5: ได้กรรมฐานก่อนบวช แต่ไม่รู้ว่าเป็นกรรมฐาน
ขณะที่จิตของท่านกำลังสงบ ปรากฎชายร่างกายกำยำ 4 คนตรงเข้ามาจับตัวท่าน เข้าเครื่องขื่อคาลงทัณฑ์โดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น แล้วนำท่านไปสู่ขุมนรกอันมีกระทะทองแดงใบใหญ่ ร้อนมากไม่เคยเจออะไรร้อนอย่างนี้มาก่อน เป็นสิ่งที่สยดสยองเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนท่านร้องเสียงหลงว่า "แม่ช่วยลูกด้วย" พลันก็มีใบบัวอันใหญ่เท่ากระด้งตากปลา มาช้อนร่างท่านขึ้นไปบนที่สูง นำท่านสู่วิมานลอยฟ้า อันวิจิตรบรรจงที่ไม่มีสถานที่ใดในเมืองมนุษย์จะเปรียบได้
ในวิมานนั้นปรากฎว่ามีนางฟ้าจำนวนเป็นร้อย ร่ายรำอยู่เบื้องหน้า แต่ละนางอายุประมาณ 16-17 ปี มีรูปร่างความงามดูละม้ายคล้ายคลึงกันที่งดงามและแปลกตาก็คือแต่ละนางสูงศอกเท่าเทียมกัน ทันใดนั้นมีนางฟ้านางหนึ่งดูงดงามเป็นพิเศษ ลอยออกจากวิมารด้วยอาการแย้มสรวลมีเสน่ห์ นางลอยออกมาล่อหลอก โฉบผ่านหน้าท่านไปมา เหมือนจะทักทายให้ไขว่คว้า ความรู้สึกในขณะนั้นท่านได้ตามนางฟ้าเข้าไปในวิมาน แต่เมื่อท่านจะตามเข้าไปหานางก็ปิดประตูกั้นไว้ พอถอยออกมานางก็โผล่พักต์มาล่อหลอกอีก ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนท่านนึกฉุนว่าไม่ให้เข้า ก็ไม่ง้อและทำท่าถอยออกมา นางจึงพูดว่า "ไปเสียก่อนเถอะ ไปสร้างบุญบารมีให้พอเสียก่อน แล้วค่อยมาเจอกันใหม่"
เมื่อท่านถอยวูบออกมาลืมตาขึ้น จึงรู้ว่านั่งอยู่ตรงรูปถ่ายของแม่ นับว่าเป็นการได้กรรมฐานแล้วเป็นครั้งแรก แต่ท่านยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรแม้แต่คำว่ากรรมฐานก็ยังไม่รู้จัก
การนิมิตเห็นสวรรค์ นรก ทำให้ได้พบความจริงว่าชีวิตมนุษย์นั้นต้องเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมดไม่ตายไปลงนรก ก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ท่านไม่รู้ว่ากรรมฐานได้เกิดแก่ท่านแล้วตอนนั้น มารู้ก็เมื่อไปอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
แต่ก่อนจะหลับตาลงสู่ความสงบ ก็ได้บอกต่อรูปแม่ว่า "แม่ต้องการอะไรขอให้ดลใจบอกให้รู้ ลูกจะทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ แม้แต่เลือดเนื้อก็จะกรีดเพื่อทดแทนพระคุณ" เป็นการเสี่ยงตายอุทิศชีวิตให้แก่แม่อย่างเด็ดเดี่ยว เหตุการณ์ทั้งหมดในนิมติ เป็นผลจากการที่แม่ของท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน ได้สร้างสมบารมีอันเป็นกุศลไว้มาก ไม่ว่าเป็นทานและศีลอาศัยบารมีนี้มังช่วยลูกเอาไว้ได้จากขุมนรก
หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็บอกพี่สาวน้องสาวว่าจะออกจากบ้านไปอีก ไม่แน่ใจว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะได้กลับมาพบกัน พี่สาวเป็นห่วงกลัวน้องชายตกระกำลำบาก จะทักท้วงก็ไม่ได้ เพราะรู้ว่าน้องชายเป็นคนเด็ดเดี่ยว ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้ได้ จึงเอาเงินวางให้ 5,000 บาท แต่ท่านเอาไปแค่ 500 บาท บอกว่าแค่นี้พอแล้ว ที่เหลือขอให้ทำบุญให้แม่ แล้วท่านก็จากไป ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดท่านเล่าว่า ตอนนั้นท่านมีเงินเป็นจำนวนมาก แต่เป็นเงินสมัยสงครามจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้จึงรับเงินพี่สาวมาพอเป็นพิธี
ตอนที่ 4: กำเนิดขุนโจรอิสไมล์แอ
ปล้นมาได้ท่านก็แบ่งแจกจ่ายให้ประชาชนที่กำลังอดยากตามชายฝั่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายกันอยู่บนฝั่งเป็นหูเป็นตา และส่งข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ให้นำเสนอข่าวพฤติกรรมของโจรสลัดทะเลหลวง ฉายา "ขุนโจรอิสไมล์แอ" ช่วงนั้นชื่อเสียงของโจรสลัดทะเลหลวงกลุ่มนี้โด่งดังมาก
ต่อมาเมื่อสงครามโลกสงบลงการปล้นของขุนโจรอิสไมล์แอ ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นการปล้นเรือขนส่งสินค้าของผู้มีอิทธิผลทางการเมือง และทางราชการที่ขนข้าวไปขายให้ มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เพราะว่าช่วงนั้นประชาชนทางภาคใต้ปกติทำนาก็แทบจะไม่พอกิน ส่วนมากทำกินก็เฉพาะในครัวเรือน บางพื้นที่ก็ทำไร่ตามดอนเขาซึ่งกินได้ไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ จึงเห็นว่าการขนข้าวไปขายแทนที่จะช่วยเหลือประชาชนที่อดยากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เมื่อปล้นสินค้ามาได้ก็นำมาแจกจ่ายประชาชน ทำให้ผู้ส่งออกข้าวส่งคนมาเจรจาขอร้องอย่าให้ทำการปล้นอีก คำตอบท่านก็คือ ถ้าจะให้เลิกปล้นก็ต้องเลิกส่งข้าวออก ผู้ค้าข้าวก็ไม่ยอม เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้ ทางราชการจะไปปราบโจรก็ไม่ได้เพราะการยกกำลังไปเกาะตะรุเตาทำไห้ยาก เดินทางไม่สะดวก ทะเลกว้างใหญ่กลุ่มโจรสามารถไปหลบตามเกาะแก่งที่ไหนก็ได้ ตัวขุนโจรเองก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็นท่าน ท่านคุมลูกน้องเป็นโจรสลัดอยู่ 5 ปี
ตอนที่ 3: ชีวิตเสรีไทย สงครามโลกครั้งที่ 2
กลุ่มไทยถีบ คือ เมื่อญี่ปุ่นขนอาวุทธยุทโธปกรณ์หรือเสบี่ยงอาหาร ไปให้กองทัพของตอนตามภาคต่างๆ ซึ่งต้องขนโดยใช้ทางรถไฟ กลุ่มของท่านก็จะดักซุ่ม เพื่อถีบของเหล่านั้นลงจากรถไฟไม่ให้ไปถึงปลายทางได้
ตอนที่ 2: ชีวิตเมื่อต้องโทษทัณฑ์
(ท่านทราบภายหลังเมื่อบวชปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง ว่าลุงนั้นเป็นเทพ มาช่วยปกปักรักษาท่าน คงเห็นว่าท่านมีบารมีที่จะได้เข้าถึงธรรมในชาตินี้และชาติด่อไป เลยมาช่วย)
เมื่อพ้นผิดท่านก็กลับมาอยู่ประเทศไทย ในภาคใต้ตามเดิม ขณะนั้
ตอนที่ 1: ชีวิตก่อนบวช
ท่านพระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต
ก่อนบวชท่านมีชื่อว่า นายประยุทธ สุวรรณศรี
เกิด ปี 2471 ปีมะโรง เดือน 5 วันเสาร์
มีพี่น้องรวมกัน 5 คน ท่านเป็นคนที่ 3 โดยมีพี่ชาย 1 พี่สาว 1 และน้องสาว 2 คนคือคุณประภาและคุณพะเยาว์
บ้านเกิด จ. เพชรบุรี แต่ไปเติบโตที่ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะทั้งครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ครอบครัวท่านมีฐานะดีพอควร
ท่าน เล่าว่าชะตาของท่านต้องฆ่าคนโดยไม่เจตนาเมื่ออายุ 11 ปีคือขว้างมีดเล่นๆไปถูกชายคนหนึ่งเข้าที่สำคัญทำให้ชายผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่เนี่องจากยังเด็กจึงไม่ถูกลงฑัณฑ์ เมื่ออายุครบบวชพ่อก็มาเสีย แม่จึงจัดให้บวชตามประเพณีที่วัดกลางเมืองหัวหิน สันนิษฐานว่าเป็นวัดอัมพาราม บวชได้ 1 พรรษาก็สึก นับเป็นการบวชครั้งแรกในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย หลังจากสึกท่านก็ไปทำมาหากินทางใต้ เร่ร่อนไปหลายที่ ที่ไหนหาเงินได้มากก็อยู่นานหน่อย เคยเป็นกัปตันเรือตังเกหาปลามีเพื่อนฝูงลูกน้องมากมาย และเคยไปลงทุนตั้งไนท์คลับที่มาเลเซีย
จุดหักเหในชีวิต เกิดเมื่อพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพจ้างให้ขนฝิ่น ไปมาเลเซียในราคาเที่ยวละ 2,000 บาทและให้ไปรับเงินที่ปลายทาง พอไปถึงคนที่ซื้อฝิ่นกลับกลายเป็นตำรวจ 2คนบอกว่าจะจ่ายเงินค่าฝิ่นให้ ท่านไม่รับเพราะถ้าขืนรับ คนที่จ้างท่านเป็นพวกมีอิทธิพลคงไม่ไว้ใจท่านและท่านอาจโดนฆ่า แต่ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ 2 คนนั้นขู่ว่าถ้าไม่ตกลงตามราคาที่เสนอจะแจ้งให้ตำรวจมาเลเซียจับ ทำให้ท่านไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจฆ่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน ท่านเล่าว่าอุตส่าห์ควักไส้พุงมันออกเวลาไปทิ้งน้ำจะได้ไม่ลอยขึ้นมา แต่เจ้ากรรมจริง ๆ ศพลอยขึ้นมาข้าง ๆ เรือ ทำให้มีคนเห็นและท่านถูกจับฐานสงสัยว่าเป็นฆาตรกรแต่ไม่มีเรื่องค้าฝิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประวัติพระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต
- ขุนโจรอิสไมล์แอ สลัดทะเลหลวงผู้โด่งดัง
- เสรีไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ได้กลายมาเป็นพระอริยเจ้าที่ควรกราบไหว้บูชา และมีวัตรปฎิบัติอันงดงามตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดสมณเพศจนเข้าสมาบัติมรณภาพในสมาธิและอัฐิกลายเป็นพระธาตุ ซี่งถือกันว่าเป็นภูมิแห่งพระอรหันต์ ท่านลือกที่จะเป็นพระป่าที่ยึดมั่นในแนวปฎิบัติที่น่าเลื่อมใสไม่ต่างอาจารย์และอาจารย์ปู่ของท่านเลย
พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยูตโต---->เป็นศิษย์หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม--->เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ตารางการปฏิบัติธรรม และ ระเบียบ
ภาคเช้า
04.00 น. สัญญาณระฆัง - สวดมนต์ทำวัตรเช้า
05.00 น. นั่งสมาธิ
06.00 น. เดินจงกรม
07.00 น. ถวายภัตราหารเช้าถวายแด่พระสงฆ์
08.00 น. รับประทานอาหารเช้า
09.00 น. เดินจงกรม
10.00 น. นั่งสมาธิ (ที่กุฎิ หรือ ในอาณาบริเวณวัด)
11.00 - 12.59 น. ทำกิจส่วนตัว พักผ่อนตามอัธยาศัย
ภาคบ่าย
13.00 น. นั่งสมาธิ
14.00 น. เดินจงกรม
15.00 น. สนทนาธรรมกับคุณแม่ชีบุญยงค์ หรือพระภิกษุในวัด
16.00 น. น้ำปานะ
17.00 น. ปฎิบัติภาระกิจส่วนตัว
18.00 น. เดินจงกรม
19.00 น. สวดมนต์ทำวัตรเย็น
20.00 น. ฟังพระธรรมเทศนาจากพระอริยเจ้า จากเทป หรือ ซีดี
21.00 น. นั่งสมาธิ
22.00 น. กลับกุฎิ พักผ่อนตามอัธยาสัย
ระเบียบและกติกา
1. ถือศีล 8 ด้วยการทานข้าวมื้อเดียว โดยยึดระเบียบการทานอาหารเช้าตามวิธีแบบวัดป่า คือทุกคนต้องตักอาหารในภาชนะที่เตรียมให้เพียงพอที่จะทาน แล้วนำมานั่งที่พื้นที่ปูเสื่อไว้โดยไม่ลุก หรือเดินอีกหากไม่จำเป็น ทั้งนี้ หากร่างกายสังขารไม่อำนวย ทางวัดอนุญาตให้ทานอาหารเพลได้ โดยให้แบ่งอาหารตอนเช้าเพื่อเก็บไว้อุ่นทานตอนกลางวัน (ก่อน 12.00น.) โดยการทานข้าวเย็นควรทานให้เสร็จก่อน 18.00 น. เพื่อเตรียมตัวทำวัตรเย็น
2. ตลอดระยะเวลาการปฎิบัติ ไม่พูดคุยส่งเสียงดังอย่างเคร่งครัด ยกเว้น เฉพาะเวลาถามปัญหาข้องใจในการปฎิบัติกับคุณแม่ชี
3. ให้สำรวมกาย วาจา ใจ อย่างสงบเรียบร้อย โดยระมัดระวังเสียงที่เกิดขึ้นในเวลาเปิด-ปิดประตู วางถ้วยชาม เดิน นั่ง นอน ฯลฯ
4. การใช้ห้องน้ำให้ถือหลักว่า "เวลาที่จะออกจากห้องให้สะอาดกว่าเวลาเข้า"
ระเบียบการเข้าพัก
1. สามารถเลือกกุฏิที่พัก แบบพักคนเดียว หรือพักสองคน กรณีพัก 2 คนก็จะพักคนละชั้น ทุกกุฏิจะมีห้องน้ำประจำเพื่อความสะดวก ที่พัก สามารถพักได้ ตั้งแต่ 1-6 คน
2. การพักที่กุฏิ จะอนุญาตให้มีเพียง น้ำเปล่า 1 ขวด แก้ว 1 ใบ เทียนไข ไม้ขีดไฟ ไฟฉาย เสื่อ หมอน ผ้าห่ม ที่ทางวัดจะจัดเตรียมไว้ให้
3. ทางวัดไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือขนมไปเก็บไว้ที่ ที่พัก ให้เก็บรวมไว้ที่โรงครัว
4. โทรศัพท์มือถือมีสัญญาณ (ของ DTAC เท่านั้น) ที่ศาลาอเนกประสงค์ และ โรงครัว
สิ่งที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้
1. อาหารวันละ 1 มื้อ (หากทานมากกว่า 1 มื้อ ให้เก็บอาหารช่วงเช้าไว้ทานต่อไปในมื้อเพลได้)
2. น้ำปานะ ช่วงเย็น
3. เครื่องนอน เสื่อ หมอน และผ้าห่ม
4. เทียนไข, ไม้ขีด และไฟฉายพร้อมถ่าน
5. อื่น ๆ ที่จำเป็น
สิ่งที่ควรนำมา
1. เสื้อผ้า แต่งขาว ห่มขาว
ผู้หญิง : เสื้อขาว (อนุโลมให้เป็นเสื้อยืดขาวได้ แต่ต้องไม่รัดรูป) กางเกง / ผ้าถุง (ขาวหรือดำ สำหรับท่านที่บวชชีพราห์ม)
ผู้ชาย : เสื้อขาว + กางเกง (ขาว)
2. เสื้อหนาว (ตามฤดูกาล)
3. ของใช้ส่วนตัว
4. ยา (หากมีโรคประจำตัว)
การเดินทาง
ไปทางน้ำตกเอราวัณ สังเกตหลักกิโลเมตรที่ 6 ตามทางหลวงที่ 3199 ถึงบ้านลาดหญ้า ผ่านเขาชนไก่ให้ขับตรงไปเรื่อยๆ ข้ามสะพาน “ห้วยลำตะเพิน” ขับตามถนนที่ลาดโค้ง แล้วให้ออกขวาไว้จะเห็นทางแยกให้เลี้ยวขวา ซึ่งจะมีป้ายบอกชื่อวัด ขับมาจะเห็นป้อมตำรวจชุมชนหินดาด ให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปตามถนนจนสุดทางหลวง ( ต่อไปจะเป็นถนนดินแดง) ให้เตรียมเลี้ยวขวาผ่านไร่อ้อย เพื่อขับขั้นเขาจากจุดนี้จะมีถนนที่ได้ปรับปรุงไว้เป็นระยะๆ จนถึงที่ราบบนเขาที่ชาวบ้านปลูกพืชผลต่างๆ ขับไปเรื่อยๆจนเห็นป้ายบอกชื่อวัด ให้ขับไปตามทางนั้น จะเห็นโบสถ์เรือนไม้ตั้งอยู่ โดยใช้เวลาจากบ้านลาดหญ้าถึงวัด ประมาณ 30-40 นาที
รถตู้ -ไปขึ้นที่สนามหลวงข้างๆพระแม่ธรณีบีบมวยผม ค่าบริการเที่ยวละ 120 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. เศษ นั่งสุดทางคิวรถ บอกให้คนขับ ขอลงที่ครัวเคเบิล หรือหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวผัดไทแบบโบราณ
วัดป่าผาลาดในปัจจุบัน
ทางขึ้นวัดที่เชิงเขาได้มีการปรับปรุงในช่วงที่ลาดชันมากๆ และขรุขระที่อาจเป็นอันตรายในเวลาขี่ยวดยานขึ้นลงสำหรับผู้ไม่ชำนาญ โดยลาดปูนซีเมนต์เพื่อให้การสัญจรสะดวกขึ้น ถนนนี้ไม่ใช้ถนนหลวงจึงไม่ได้อยู่ในการพัฒนาของทางราชการ การปรับปรุงจึงตอ้งพึ่งพาผู้มาปฎิบัติธรรมช่วยกันบริจาค รวมทั้งการซ่อมแซมกุฎิสงฆ์ และชี
วัดป่าผาลาดมีกุฏิปฎิบัติธรรมแยกฝ่ายกันชัดเจน ระหว่างชาย และ หญิง ประมาณ 15 หลัง อยู่ห่างไกลกันท่ามกลางป่าเบญจพรรณและป่าไผ่ แสงสว่างในยามค่ำคืนจะใช้เทียนไขและไฟฉาย แต่ในคืนเดือนหงาย พลังแห่งการส่องสว่างของแสงจันทร์ ทำให้สถานที่นี้ศักดิ์สิทธมาก ผู้มาเยี่ยมเยียนและปฎิบัติธรรม จะประทับใจในความเป็นธรรมชาติ งดงาม สงบ วิเวก และสะอาดอย่างอัศจรรย์ ในความดูแลของคณะสงฆ์และคุณแม่ชีในฝ่ายอุบาสิกา
ปกติที่วัดป่าผาลาดจะมีพระภืกษุประจำประมาณ 2-3 รูป ช่วงเข้าพรรษาจะมีพระป่าที่ธุดงค์หรือมาจำพรรษา 5-6 รูป พระสงฆ์ทั้งหมดที่วัดป่าผาลาดเป็นพระป่าที่มีวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายทางหลวงปู่มัน ตลอดจนคุณแม่ชีและผู้มาปฎิบัติธรรมก็เคร่งครัดในการปฎิบัติธรรมและดูแลธุระต่างๆของวัดให้ยังประโยชน์ที่ดียิ่งพระสงฆ์และคุณแม่ชีจะทานข้าวมื้อเดียว