wat

วัดป่าผาลาด ต.วังดัง อ.เมือง จ. กาญจนบุรี
เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฎิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เงียบสงบ ท่ามกลางป่าไม้ธรรมชาติ ธารน้ำตก ทางวัดยินดีต้อนรับผู้ที่ตั้งใจเรียนรู้และปฎิบัติเจริญศีล สมาิธิ ภาวนา ทุกท่าน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการจัดการรองรับเรื่องที่พัก ก่อนมาปฎิบัติธรรม

กรุณาติดต่อวัด หรือ คุณแม่ชีบุญยงค์
Tel. 089-6154890, 086-0183509.
Photobucket ตารางปฎิบัติธรรมและระเบียบ
Photobucket การเดินทาง

Photobucket
Photobucket

Watpa-PhaLad is located at Tumbon Wangdong, Muang District, Kanchanaburi, Thailand
   Surrounded by pure natural forest and waterfall, Watpa-Phalad is an exceptional place to practise Meditation. We welcome you all ,regardless of nationalities or races, who want to learn and practise Meditation.

For availability of meditation halls, strongly recommend to advance contact to "Nun Bonyong"
Tel. 66 89 6154890, 66 86 0813509

Sep 10, 2008

ตอนที่ 11: เรื่องของท่านพระอาจารย์ประยุทธ

ปฏิปทาที่มั่นคง

ท่านพระอาจารย์ไปพักอยู่ที่วัดเกาะกระทิง นั่งกรรมฐานที่เรียกว่า นั่งหนัก คือนั่งติดต่อกัน 1 เดือนเต็ม เนื่องจากท่านเป็นพระที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจปฎิบัติเหมือนกับหลวงปู่ตื้อ พระอาจารย์ของท่าน พอออกจากกรรมฐานท่านก็หมดแรง ชาวบ้านหามท่านไปส่งโรงพยาบาล

หลังจากนั้นท่านไปปฏิบัติธรรมที่พระธาตุเขาน้อย ไปฉันเห็นชนิดหนึ่งดอกสีม่วง ซึ่งมีพิษ เร่าร้อนแทบจะปางตาย ถึงกับฟันหลุดไป 14-15 ซีก ในป่าดงไม่มียาอะไร จึงใช้วิธีดูดพิษออกโดยให้โยมชาวบ้านช่วยกันขุดหลุมฝังตัวท่านลงไป เอาดินกลบเหลือเพียงช่องหายใจเท่านั้น

วิธีใช้ไอดินดูดพิษนี้ ใช้เวลาถูกพิษเช่น งูกัด เสือกัด เขาเอาแผลที่ถูกกัดฝังให้ไอดินดูดแก้พิษได้

ถ้าโดนเสือกัดและรอดตายมาได้ พิษของการถูกเสือกัดนั้นร้ายแรงเหมือนสุนัขบ้า ทำให้คลั่งลงตะกุยดิน คนที่เข้าป่าจึงควรรู้จักต้นกลอยที่เราเอามารับประทานกับข้าวเหนียว หัวกลอยดิบ ๆ ให้ผู้ถูกเสือกัดกินดิบ ๆ จะรู้สึกเหมือนกินมันแกวไม่เฝื่อนขื่นอย่างไร ให้กินจนรู้สึกเผื่อนขึ้นมาจึงเลิกกินพิษเสือจะหายหมด

ถ้าไปถูกงูพิษเช่น งูเห่ากัด ก็ให้ใช้ต้นอุตพิษเอาหัวมาตำให้แหลกเหยาะเหล้าโรงสัก 3-4 หยด คั้นเอาน้ำมากิน เอากากปิดปากแผล แก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ชะงัดนัก

การปลุกเสกพระ
ท่านมาพักกับหลวงตาสิน ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดถ้ำหว้า จังหวัดเพชรบุรี และได้ไปมาหาสู่ พระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ที่วัดหนองน้ำขาว จังหวัดราชบุรี อยู่เสมอเพราะถูกอัธยาศัยกันเนื่องจากเป็นพระสายเดียวกัน คือสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

การไปมาหาสู่กันทำให้ท่านพระอาจารย์ประยุทธ ได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ชั้นเถระผู้ใหญ่ ที่แวะเยื่ยมเยียนพระมหาปิ่นอยู่เป็นประจำ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่เหรียญ เป็นต้น การพบพระเถระเจ้าทั้งหลาย ทำใหพระอาจารย์ได้อุบายธรรมนำไปเร่งการปฎิบัติให้ยิ่งขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งพระอาจารย์มหาปิ่นท่านคิดทำพระสมเด็จเพื่อไว้แจกญาติโยม จึงได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์มานั่งปรก 5-6 รูป รวมทั้งพระอาจารย์ประยุทธด้วย กำหนดให้ทำการปลุกเสก ครบ 7 วัน ระหว่างที่ปลุกเสกไม่ทราบพลัจิตองพระรูปไหน ทำให้พระเครื่องทีนำมาปลุกเสกใส่ไว้ในบาตรแตกหักไปเกือบครึ่งองค์

การนั่งปลุกเสกถึงวันที่ 3 พระเกจิอาจารย์ที่นิมนต์มาก็ค่อย ๆ ถอนสมาธิไปจนวันที่ 4 วันที่ 5 ก็เหลือท่านอาจารย์ประยุทธเพียงท่านเดียว

พอวันที่ 6 ตอนกลางคืนก็ปรากฎความอัศจรรย์ บริเวณที่ท่านพระอาจารย์ประยุทธปลุกเสก บังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นเห็นดังนั้น จึงรีบให้สามเณรเข้าไปกระซิบบอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่าพลังเข้าไปเต็มที่แลว ให้ถอนสมาธิได้แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ครบ 7 วัน กระซิบอยู่เช่นนั้น 2-3 ครั้ง ท่านพระอาจารย์จึงถอนสมาธิออกมา

การปลุกเสกพระครั้งนี้เท่าที่บอกเล่ากันมา ใครได้ไว้ก็เรียกว่าเป็นของดีวิเศษจริง และเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่พระอาจารย์ประยุทธได้ทำ

ท่านพระอาจารย์ประยุทธเป็นคนพูดจาโผงผาง ท่าทางเป็นนักเลงคล้ายคลึงหลวงปู่ตื้อ แต่โดยแท้จริงมีความอ่อนโยนนุ่มนวล ประกอบด้วยเมตตาสูงชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความลำบาก ท่านผู้รู้หลายท่านว่าอุปนิสัยใจคอของคนเราเป็นสิ่งที่ติดตามเนื่องกันมาแต่อดีตชาติลบล้างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่าย ๆ

แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีข้อให้ติได้ อย่างพระสารีบุตรมหาเถระอัครสาวกเบื้องขวงของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ทรงปัญญาล้ำเลิศและได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะทางปัญญา เวลาเดินทางข้ามล่องน้ำ ท่านก็ทำท่าทางอย่างลิงกระโดดข้ามไป ไม่เป็นสมณสารูป พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า อย่าติเลยของติดมาแต่อดีตชาติ เพราะเมื่ออดีตชาติท่านเกิดเป็นลิง

ดังนั้นการมองคนต้องมองให้ลึกซึ้งถึงจิตใจของท่านอย่างมองแค่ท่าทางกิริยาภายนอก จิตของท่านพระสารีบุตรก็ดี ของท่านพระอาจารย์ประยุทธก็ดีย่อมเป็นจิตใจที่งดงาม สะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ ยากที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจได้

อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง
มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่มีโอกาสรู้จักพระอาจารย์ประยุทธเป็นครั้งแรก ได้เล่าว่าตอนนั้นอยู่ที่บ้านเก่าหลังหนึ่ง มีเนื้อที่ 2 ไร่ รอบบ้านที่ปลูกก็ตกราคา 3 ล้านในขณะนั้น แต่เป็นย่านที่มีขโมยชุกชุมเดือดร้อนเรื่องของหาย จึงได้กราบให้ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นทราบ เพราะเคารพนับถือกานมานาน ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นก็บอกว่า "ต้องพึ่งพระอาจารย์ประยุทธท่าน เพราะท่านมีฤทธิ์ขลังอาจป้องกันได้"

ขณะนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธก็อยู่ในวัดด้วย ท่านนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ เธอก็ได้เข้าไปกราบท่าน บอกท่านว่า "อยากจะขอนิมนต์ท่านไปที่บ้าน ขโมยมันชุมนัก จะทำอย่างไรดี"

พระอาจารย์ประยุทธนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า "อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง"

สุภาพสตรีท่านนี้ก็งง ทำไมท่านพระอาจารย์พูดอย่างนั้นเมื่อท่านไม่ยอมไป เธอก็กราบลาท่าน

อีก 3 เดือนต่อมา มีงานที่วัดหนองน้ำขาว สตรีท่านนี้ได้ไปร่วมงานด้วยและได้มีโอกาสถามท่านพระอาจารย์มหาปิ่นว่า "ไหนท่านว่า พระอาจารย์จะนิมนต์ท่านอาจารย์ประยุทธให้ดิฉัน" ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นหัวเราะและบอกว่า "เดี๋ยวคงมา" แต่เมื่อพระอาจารย์ประยุทธมาถึงก็ไม่ได้ขึ้นมาบนศาลา ท่านเลยไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ห่างออก ไป

สุภาพสตรีท่านนี้ จึงได้ลองนิมนต์ท่านอีกทีจึงกราบท่านและนิมนต์ท่านไปที่บ้าน คำตอบก็เหมือนเดิมคือ "อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง" ทำให้เธอหมดศรัทธาที่จะนิมนต์เสียแล้ว

สักพักใหญ่ ๆ ประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ก็เห็นพระอาจารย์ประยุทธให้เด็กถือบริขารมีบาตรและกลดเดินเข้ามาหาบอกว่า "จะนิมนต์ไปบ้าน ก็ไปเสียแต่ต้องกลับมาให้ทันสวดมนต์เย็นเวลา 6 โมงนะ" เธอก็นิมนต์ท่านขึ้น
รถและมีคนมาเป็นเพื่อนด้วย ขับรถมาถึงเขตนครชัยศรี บางหน้าก็แบนลง จำเป็นต้องเปลี่ยนยาง แต่ยางอะไหล่ก็ไม่มีไม่รู้จะทำอะไร ท่านพระอาจารย์ประยุทธนั่งหลับตาอยู่ข้างหลัง ท่านก็บอกว่าขับต่อไปเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เธอก็ขับต่อไป น่าอัศจรรย์ ยางที่แบน กลับพองขึ้นและวิ่งได้สบายจนถึงบ้านได้

รู้ล่วงหน้า
ท่านพระอาจารย์ประยุทธทำน้ำมนต์กันขโมยให้แล้ว ท่านเจ้าของบ้านจะพาท่านกลับไปวัดหนองน้ำขาว ตามที่ได้ให้สัญญาไว้ แต่ยางก็แบนอย่างเดิมหาคนมาช่วยเปลี่ยนไม่ได้ จึงเรียนท่านไปว่า "เห็นจะต้องกลับรถแท็กซี่เสียแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันสวดมนต์" ท่านพระอาจารย์บอกว่า "ท่านเป็นพระบ้านนอกขี้เห่อ นั่งรถป้ายเหลืองไม่ได้หรอก ต้องนั่งรถป้ายดำ" ท่านเจ้าของบ้านตอบว่า "ดิฉันไม่รู้จะไปเอารถที่ไหนตอนนี้" ท่านพระอาจารย์ว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีรถป้ายดำมารับเอง"

ท่านพูดไม่กี่นาที ก็มีรถเลี้ยวเข้ามาในบ้านอย่างไม่คาดฝัน เป็นรถน้องชายเจ้าของบ้าน เขาก็อาสาไปส่งท่านพระอาจารย์

อีก 3-4 เดือนต่อมา สุภาพสตรีท่านนี้ได้นิมนต์พระอาจารย์ประยุทธและอาจารย์เรือง ขณะได้นั่งสนทนากันจึงได้เล่าเรื่องให้ท่านพระอาจารย์ฟังว่า มีคนมาขอยืมเงินหายไปเป็นปีไม่ได้ข่ายเลย สักพักท่านพระอาจารย์ก็ได้ให้หาดอกไม้ 7 สีมาให้ ขณะนั้นใกล้ 4 ทุ่มแล้วไม่รู้จะไปหาซื้อดอกไม้ที่ไหน จึงหาดอกไม้ในบริเวณบ้านแต่คิดว่ามีไม่ครบ 7 สี ท่านพระอาจารย์ก็บอกว่ามีครบ ให้พาเด็ก ๆ ไปช่วยกันหามาก็ได้ครบ 7 สี เอาขันน้ำมนต์ใส่น้ำมาตั้งที่หน้าท่าน จุดธูปเทียนแล้ว ท่านอาจารย์ก็หยิบดอกไม้มากรีดและเด็ดที่ละกลีบใส่ลงในขันน้ำมนต์ ท่าทางการเด็ดกลีบดอกไม้นั้นประณีตนุ่มนวลมาก ท่านเด็ดจนหมดดอกแล้ว ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรเขาจะเอาเงิน 4 หมื่นมาคืนเอง สุภาพสตรีท่านนั้นก็ได้พบกับความประหลาดใน เมื่อลูกหนี้ที่หายไปเป็นปี อีก 2 วันต่อมา ก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกอยู่หน้าบ้านแต่เช้า ลูกหนี้คนนั้นนั่นเอง เขาขอโทษขอโพยแล้วเอาเงินมาคืนให้อย่างครบถ้วน

อิทธิฤทธิ์ของท่านพระอาจารย์ประยุทธ
คุณสุภาพสตรีท่านนี้ ท่านได้สร้างเรือนร้างไว้ริมรั้วในเนื้อที่ 2 ไร่ในบริเวณบ้านเก่าของท่าน เพื่อให้พระปฎิบัติที่เคารพนับถือที่ได้เดินทางมาเยี่ยมหรือเดินทางมาจากต่างจังหวัดและไม่สามารถกลับวัดได้ทันหรือมีกิจที่ต้องค้าง ก็จะนิมนต์ให้ท่านค้างที่เรือนว่างแห่งนั้น บังเอิญตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธท่านมาค้าง ลูก ๆ หลาน ๆ ของเจ้าของบ้านขอจัดเลี้ยงรุ่นพอดี คุณสภาพสตรีท่านนั้นก็กำชับว่าอย่าส่งเสียงดังมากไป จนรบกวนหลวงพ่อท่าน และได้เรียนพระอาจารย์ให้ทราบ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า "เด็กเขาจะสนุกกันก็ช่างเขาเถอะ ไม่รบกวนอะไรหรอก"

การเลี้ยงรุ่นของเด็ก ๆ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เสียงเพลง เสียงดนตรี การยั่วเย้าเฮฮากันตามวิสัยของเขา ขณะที่มองไปริมรั้วท่านอาจารย์ประยุทธก็นั่งสมาธิแน่วนิ่งอยู่ในเรือนว่าง มองเห็นได้จากหน้าต่างที่เปิดไว้เห็นแสงเทียนที่จุดไว้เพียงเล่มเดียว กระจายแสงฉาบไล้อยู่ที่ใบหน้าและกายของท่านเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว

เมื่อใกล้จะถึงเวลา 24.00 น. เพลงได้หยุดลงแล้วและมีเด็กคนหนึ่งได้มองไปที่เรือนร้างผ่านหน้าต่างเรื่องว่างนั้น เห็นดวงไฟใหญ่เท่าบาตรเกือนเป็นวงกลมลอยขึ้นจากเทียนที่ท่านจุดไว้ แสงสุกปลั่งเจิดจ้าลอยขึ้นสู่เพดานลูกแล้วลูกเล่า เมื่อต่างสะกิดกันให้ดู ก็พากันตะลึงไปตาม ๆ กัน และคิดกันว่าลูกไฟเกิดจากอะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนสงสัยพากันย่องไปใกล้ ๆ ก็เห็นแต่เทียนทีท่านจุดไว้เพียงเล่มเดียว ไม่มีสิ่งใดทีจะทำให้เกิดลูกไฟเช่นนี้ได้

ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เด็ก ๆ เกือบ 20 คน ได้พากันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วนมัสการกราบลงขอความเป็นสิริมงคล เมื่อมีผู้ถามท่านพระอาจารย์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านอธิบายว่าท่านไม่ได้ทำอะไร มันเกิดขึ้นเองอาจจะเป็นพลังอำนาจของจิตก็ได้

No comments: